สังเวยสุดท้าย - นิยาย สังเวยสุดท้าย : Dek-D.com - Writer
×

    สังเวยสุดท้าย

    เสียงประสานที่มัดรวมความเกลียดชังของผู้คนคลาเคล้ากับคลื่นความกลหลไร้ที่สิ้นสุดช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับวันล่าแม่มด ท้ายที่สุดแล้วเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าเคารพบูชาจักเป็นผู้นำพาข้าข้ามไปยังปรโลก

    ผู้เข้าชมรวม

    125

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    125

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  31 ส.ค. 65 / 12:51 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    แสงคบเพลิงนับสิบส่องสว่างอยู่เบื้องหน้าข้า คราดอีกนับร้อยที่ชี้มายังทิศทางเดียวกันทำให้ร่างทั้งร่างของข้าหนักอึ้งเสียเหลือเกิน แม้ว่าข้าจะมองดูจากชั้นสองของบ้านก็ตาม

    พวกเขาพังประตูบ้านเข้ามา ทำลายข้าวของเสียหายยับเยิน เข้าค้นทุกซอกทุกมุมของบ้าน พลางตะเบ็งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด

    บรรดาเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชวนให้หัวใจข้าเต้นระรัวประหนึ่งระบำกลอง ก่อนนี้ข้ากำลังสวดภาวนาถึงพระเจ้าอยู่ในห้องนอนอย่างสงบสุข ตอนนี้ข้ากำลังกอดคัมภีร์ไว้แน่นและซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบภายในหีบใบใหญ่ โดยแสร้งเอาผ้าขนแกะหนาหนักคลุมไว้ด้านบน หวังเพียงว่าการกระทำนี้จะช่วยตบตาผู้คนภายนอกได้บ้าง

    ข้าพยายามหายใจให้เบาที่สุดแม้รู้ดีว่าอากาศภายในหีบใบนี้กำลังจะหมดลงก็ตาม

    ‘โอ้บิดาของลูก เหตุใดพวกเขาเหล่านั้นจึงต้องหมายปลิดชีวิตลูกเพื่อถวายพระองค์ด้วย’ ข้าอ้อนวอนถึงพระผู้เป็นเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ‘ลูกสวดภาวนาถึงพระองค์ทุกวันไม่ต่างกับพวกเขาเลย เหตุใดลูกจึงสัมผัสไม่ได้ถึงความรักของพระองค์ดั่งเช่นที่พวกเขาได้รับ’

    หยาดน้ำตาร่วงรินสัมผัสคัมภีร์ที่กอดไว้แนบอกแล้วซึมไปกับแผ่นกระดาษ ทิ้งไว้เพียงรอยวงกลมและความเปียกชื้นเท่านั้นที่คอยย้ำเตือนข้า

    “นังแม่มดไม่อยู่ที่นี่”

    “นังนั่นรู้ล่วงหน้าและหนีไปแล้ว!”

    “เผาบ้านมันให้วอด!”

    เผาเลย เผาเลย เผาเลย

    ข้าหลับตาแน่น โสตประสาทเปิดกว้างรับรู้ทุกถ้อยคำด่าทอที่ผู้คนด้านล่างพ่นออกมา หลังแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องนอนอีกแล้วจึงตัดสินใจแง้มฝาหีบออก สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือกลิ่นไหม้และควันดำที่ลอยเตะจมูก ด้วยสังหรณ์ใจไม่ดีข้าจึงรีบวิ่งไปที่เชิงบันได ภาพตรงหน้าทำข้าน้ำตาร่วงอีกครา

    พรมในห้องนั่งเล่นกำลังมอดไหม้ รูปแขวนผนังทั้งหลายที่ข้าหวงแหนกลับกลายเป็นตอตะโก  เพลิงแห่งความพิโรธกำลังกลืนกินบ้านทั้งหลังของข้า

    คัมภีร์ในมือร่วงหล่นลงแทบเท้า ข้าก้มลงไปเก็บมันและโยนเข้าไปในกองเพลิงอย่างไม่ลังเล ดวงหน้าหันเบนไม่แม้แต่ชายตามองกองไฟที่สว่างวาบและมอดดับตรงหน้า

    ยามนี้ในหัวของข้ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

    ‘ข้าต้องหนี’

    ข้าไม่สามารถอยู่ในที่ที่ผู้คนจ้องจะฆ่าข้าได้อีกต่อไป สองขารีบจ้ำมาที่ประตูหลังของบ้านที่ติดกับชายป่า พลเอกฟูฟูยังยืนอยู่ในคอกอย่างสงบเสงี่ยม ช่างขัดกับบรรยากาศบ้าคลั่งโดยรอบอย่างสิ้นเชิง

    ข้าเปิดคอกให้พลเอกฟูฟูเดินออกมา นางเป็นแกะสาวตัวโต แค่หลังของนางก็สูงเลยอกของข้าไปแล้ว เกรงว่าหากข้าทิ้งนางไว้ที่นี่ ชีวีตนางคงจะจบลงอย่างน่าสิ้นหวังดั่งสมญานามแกะรับใช้ของแม่มด

    ข้าจูงนางมาที่ด้านหน้ากองฟาง เดินขึ้นไปทรงตัวบนนั้นและกระโดดขึ้นขี่อย่างมั่นคง ข้าทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ยังเล็ก คนอื่นขี่ม้า ส่วนข้าที่ไม่มีทรัพย์มากพอจึงจำต้องขี่พลเอกฟูฟู

    นางรู้งานและเริ่มออกวิ่งเข้าไปในป่า

    ลมเย็นกรีดผ่านใบหน้าข้าดั่งคมมีด สองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ต้นสนที่ดูเหมือนซากศพขนาดยักษ์รอบด้านยิ่งเสริมให้ป่านี้ดูไร้ชีวิต

    เนิ่นนานเท่าใดไม่มีใครทราบ มือและเท้าของข้าเริ่มไร้ความรู้สึกจากการถูกหิมะกัด แรงของพลเอกฟูฟูตกไปมากเทียบกับตอนเข้าป่ามา เดือนเด่นยังคงลอยค้างฟ้า บ่อบอกว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ข้าตัดสินใจลงจากหลังของพลเอกฟูฟูและเดินเคียงคู่ไปกับนาง ก่อนนี้ข้าพึ่งพิงขนนุ่มของนางเพื่อความอบอุ่น แต่ตอนนี้ที่ปลายประสาทของข้าด้านชาไปจากความหนาวหมดแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องห่วงชีวิตของตนเองอีกต่อไป เท้าเปล่าสัมผัสพื้นหิมะเย็นเยียบ หากแต่ใจข้าหาได้สนไม่ ข้าเดินลากเท้าไปด้านหน้าต่อไปอย่างไร้จุดหมาย

    แม้ว่าทัศนวิสัยของข้าจะย่ำแย่เต็มที แต่ข้าก็เห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจน ข้าหยุดที่ต้นสนต้นสุดท้ายและมองเข้าไปในพื้นที่โล่งกว้างประหลาดที่ไม่เหมาะจะตั้งอยู่ ณ ใจกลางป่าแห่งนี้แม้แต่น้อย

    หมอกหนาที่ปกคลุมอยู่มิอาจซ่อนความทรุดโทรมของโบราณสถานตรงหน้าได้มิด สิ่งก่อสร้างคล้ายโดมขนาดเล็กทำมาจากหินสีอ่อน เพียงชายตาผ่านไวๆก็รู้ได้โดยทันทีว่ามันถูกออกแบบมาอย่างประณีเพียงใด รูปปั้นด้านในพุพังไปมาก บริเวณหน้าถูกทำลายจนไม่อาจบ่งบอกได้ว่าที่นี่คือเทวสถานของลัทธิใดกันแน่

    หากแต่รัศมีที่แผ่ออกมาจากรูปปั้นกลับดึงดูดให้สักการบูชาอย่างเสียไม่ได้ ทันทีที่เท้าของข้าก้าวเข้ามาในเขตวิหาร สายลมเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ก็พลันสงบลง ข้ารู้สึกได้รับการปกป้องอย่างที่ไม่ได้รับมานาน

    พลเอกฟูฟูก็เดินตามมาเช่นกัน นางคงเหนื่อยน่าดูจากการเดินทางอันยาวนาน เพียงพริบตาเดียวนางก็ล้มตัวลงนอนแทบเท้าของรูปปั้นนั้น

    ข้ามองตามอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง ทันใดนั้นประกายแสงก็วาบผ่านดวงตาว่างเปล่าของข้า สองเท้าเดินเข้าไปหาพลเอกฟูฟู ย่อตัวลงนั่งโดยสองเข่าแตะพื้นในท่าเทพธิดา ประสานมือระดับอกและหันหน้าไปทางรูปปั้นเทพนิรนาม

    ‘ได้โปรดให้ข้าได้พึ่งพิงพระองค์ในค่ำคืนนี้ ได้โปรดมอบการคุ้มครองแก่ข้าและแกะของข้า ได้โปรด’

    อธิษฐานเสร็จข้าก็ล้มตัวลงนอนแบ่งปันความอบอุ่นกับพลเอกฟูฟู

    คล้ายค่ำคืนนี้เป็นหนึ่งในค่ำคืนที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตของหญิงสาว เพียงชั่วหนึ่งความนึกคิด นางก็ผล็อยหลับอย่างง่ายดาย

    เมฆยามราตรีเคลื่อนมาบดบังดวงจันทร์อีกครา รัตติกาลเข้าครอบงำทุกหย่อมหญ้าเมื่อไร้แสงจันทร์ หากแต่ ณ ใจกลางป่าใหญ่ ในเทวสถานโบราณกลับมีรูปปั้นที่ส่องแสงสว่างนวลตาตั้งอยู่

    สายลมอุ่นปริศนากลางเหมันตฤดูตรงเข้าคลอเคลียหญิงสาวที่ฐานรูปปั้นอย่างปรีดาคล้ายโหยหานางมาเนิ่นนาน ไม่เพียงความอบอุ่น หากแต่สายลมยังพัดพาเอาถ้อยคำที่เบาราวเสียงกระซิบมาเช่นเดียวกัน

    ‘ข้ากลับมาแล้วนะ’

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น